วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

ตัวเลขนั้นสำคัญไฉน


มอง“ตัวเลข” อย่างนักคณิตศาสตร์

ตัวเลขไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ปริมาณเพียงอย่างเดียว

            นักคณิตศาสตร์หลายๆท่านให้ความสำคัญ  และพยายามให้นิยามตัวเลข ในทัศนะที่คล้ายคลึงกันหลายๆท่าน  อาทิปีทาโกรัส  เพลโต  และกาลิเลโอ  ได้กล่าวถึงตัวเลข  รูปทรงทางคณิตศาสตร์ ผ่านความเชื่อ หลักปรัชญา ไว้อย่างน่าสนใจ  ผู้เขียนขอหยิบยกบางประเด็น เชื่อมโยงแนวคิด  ความเชื่อ  ตามพุทธิปัญญาที่มีอยู่

แนวคิดและความเชื่อของนักคณิตศาสตร์ ในยุคก่อน

พีทาโกรัส (Pythagoras 580-496 ก่อนค.ศ.)
         พีทาโกรัส (Pythagoras) เป็นนักคณิตศาสตร์และนักปราชญ์ชาวกรีกโบราณ
ได้ชื่อว่าเป็น  “บิดาแห่งตัวเลข”   มีความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด  และ เชื่อว่า  
“ตัวเลขเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่ง”  เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะอธิบายสิ่งต่างๆในจักรวาล  การศึกษาจำนวนในสมัยของปีทาโกรัส ได้นำความมหัศจรรย์ของจำนวนไปผูกพันกับความเชื่อโชคลาง  โหราศาสตร์ และราศี  เช่น จำนวนมิตรภาพ คู่แรกที่เชื่อว่าพบในสมัยของ Pythagoras คือ 284 และ 220 สองจำนวนนี้มีสมบัติพิเศษคือตัวหารแท้ของจำนวนหนึ่งมีผลบวกเท่ากับอีกจำนวนหนึ่ง เช่น ตัวหารแท้ของ 284 ได้แก่ 1 ,2,4,71 และ 142 มีผลบวกเป็น 284 ผู้ที่เชื่อเรื่องโชคลางจะจารึกตัวเลขลงในเครื่องรางของขลัง โดยเชื่อว่าคนคู่ใดห้อยของขลังที่จารึกตัวเลขดังกล่าวจะเป็นมิตรแท้ต่อกัน  อีกตัวอย่างของความเชื่อในความมหัศจรรย์ของตัวเลข คือ จำนวนสมบูรณ์  เป็นจำนวนที่มีสมบัติพิเศษ  จำนวนนั้นมีค่าเท่ากับผลบวกของตัวหารแท้ทั้งหมดของตัวมันเอง เช่น 6 เป็นจำนวนสมบูรณ์ เพราะมี 1 ,2,3 เป็นตัวหารแท้และ 6 = 1+2+3 ในสมัยนั้นเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกและสร้างเสร็จภายใน 6 วัน ซึ่งเป็นจำนวนสมบูรณ์ เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวฮีบรูหรือชาวยิว ที่มีต่อเชิงทียน 7 กิ่ง เป็นสัญลักษณ์ของอิสระภาพชัยชนะ และปาฏิหาริย์แห่งแสงสว่าง  ที่พระเจ้าเป็นผู้ประทาน และชื่อว่าศาสนายูดาห์ได้ถูกสร้างขึ้นใน 7 วัน เชิงเทียน 7 กิ่งนี้เรียกกันว่า "เมโนราห์"
“เมโนราห์” ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ภายใน 6 วัน ซึ่งแท่งเทียนตรงกลางแทนพระเจ้าเป็นผู้สร้าง จะใช้ประทีปตรงกลางเป็นอันที่ใช้จุดไฟอีกหกอันที่เหลือ ในความเชื่อตามคัมภีร์เชื่อว่าเลข 7 หมายถึงความสมบูรณ์ และเลข 6 หมายถึงมนุษย์  นอกจากนี้ชาวฮีบรูยังศรัทธาในสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกหรือดาวแห่งเดวิส  ซึ่งเป็น
ดาวแห่งเดวิส

สัญลักษณ์ของกษัตริย์เดวิส และโซโลมอน  บางมุมมองกล่าวว่าเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าและสัญลักษณ์ของจักรวาล  ดาวหกแฉกนี้มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมคว่ำกลับหงายสลับกัน บ้างก็เชื่อว่าเป็นแบบสัญลักษณ์ที่แทนชายกับหญิง

เพลโต (Plato) (427-347 ปีก่อน ค.ศ.)
เพลโต (Plato)  เป็นนักปรัชญาฃาวกรีกโบราณ ที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก  เพลโตเชื่อว่า  “ความรู้ทั้งปวงมาจากแบบ” แบบของเพลโตเป็นการกล่าวถึง วัตถุสิ่งของที่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่นรูปสามเหลี่ยม เป็นสิ่งที่จำลองมาจากของจริงหรือต้นแบบ เพลโตได้ให้แนวคิดลักษณะของสามเหลี่ยมว่าเป็นแบบมนุษย์ที่แยกออกจากสิ่งที่เป็นวัตถุกายภาพ  เป็นรูปทรงที่มีโครงสร้างที่มีระเบียบมีความงาม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หล่อหลอมความคิดและความเชื่อทั้งในจิตวิญญาณและหลักปฏิบัติในการดำรงชีวิต ถือว่าเป็นแบบพลังในทางระบบ
   
กาลิเลโอ กาลิเลอี  (Galileo Galilei )
(15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 - 8 มกราคม ค.ศ.1642)
Galileo Galilei ได้กล่าวไว้ว่าตัวเลขคือตัวอักษรที่พระเป็นเจ้าได้ช่วยเขียนขึ้นมาในจักรวาลนี้ เปรียบได้กับ หนังสือธรรมชาติที่มีสัญลักษณ์ตัวเลขบันทึกลงอยู่ธรรมชาติจะเปล่งเป็นภาษาเลข ที่แสดงออกมาในรูปแบบของรูปสามเหลี่ยม วงกลม และรูปสมมาตรอื่นๆในทางคณิตศาสตร์
          หากเราลองจินตนาการตามแนวคิดในเรื่องแบบโดยการยกปลายแต่ละมุมของรูปดาวหกแฉก
ของเดวิสขึ้นมาประกบกันเข้าก็จะกลายเป็นรูปพีรามิดฐานหกเหลี่ยม

ลักษณะคลายสัญลักษณ์ของภูเขาในพุทธศาสนาเชื่อว่าภูเขาถูกแทนด้วยเขาพระสุเมน เป็นตัวแทนของสิ่งที่เหนือโลก หรือการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับจักรวาลอันไพศาล บางครั้งอาจหมายถึงจุดที่สามารถสร้างศรัทธาของผู้คนในอาณาจักร  ในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจะพบสัญลักษณ์ในลักษณะนี้เช่นกัน  ซึ่งเรียกกันในนาม “มันดาลา” เป็นสัญลักษณ์แทนการจำลองจักรวาล  
“มันดาลา”



วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

มาเกน ดาวิด(Magen David) หรือ ดาวแห่งเดวิด

                                          มาเกน ดาวิด (Magen David) มาจากภาษาฮีบรู  แปลว่า
โล่แห่งกษัตริย์เดวิด  เป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของกษัตริย์เดวิดและกษัตริย์โซโลมอน  มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมซ้อนกันสองอันแบบตั้งขึ้นและแบบกลับหัว มองดูแล้วเป็นรูปดาวหกแฉก หรือเรียกว่า  “ดาวแห่งเดวิด” เรามักจะพบสัญลักษณ์นี้ใช้กันแพร่หลายในศาสนายูดาห์และชาวยิว  ธงชาติอิสราเอล และในพีธีกรรมทางศาสนา  อันอาจสืบเนื่องมาจากความเชื่อและหลักในการดำเนินชีวิตของชาวยิวที่สืบทอดกันมาหลายพันปียึดถือคัมภีร์โตราห์เป็นธรรมนูญในชีวิต จะใช้คำสอนในศาสนามาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตและตัดสินปัญหาต่างๆ ดังนั้น ศาสนาของชาวยิวจึงเป็นทั้งศาสนาและเป็นวิถีชีวิตประกอบกับชาวยิวเชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานบัญญัติ 10 ประการให้ชาวฮีบรูหรือชาวยิวนับถือ ในบทบัญญัติ 10 ประการ มีข้อกำหนดห้ามทำรูปเคารพ พระเจ้ามีพระองค์เดียวอยู่ที่จิตไม่ให้บูชาเทวรูป  ด้วยเหตุนี้ชาวยิวจึงไม่มีสัญลักษณ์รูปเคารพใดๆที่แสดงความเชื่อ และความเป็นตัวตนของชนชาวยิวที่ชัดเจน มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนยึดถือเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพระเจ้า และผนวกกับกับความเชื่อที่ว่าตระกูลของอับบราฮัมสามารถสื่อสารและเห็นพระองค์ เชื่อในพันธสัญญาเดิมที่พระองค์จะมอบให้   และยกย่องในความสามารถของกษัตริย์เดวิดและกษัตริย์โซโลมอนซึ่งเป็นเชื้อสายของอับบราฮัม  กษตริย์เดวิดซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์ที่สองของราชอาณาจักรอิสราเอล กล่าวกันว่าเป็นมหาราชปฐมกษัตริย์ที่เป็นผู้รวบรวมวงษ์วานอิสราเอล ทรงมีคุณธรรมและเป็นนักการทหารที่มีความสามารถด้านดนตรี กวี  เป็นผู้ที่ชาวยิวให้การเคารพนับถือ ด้วยเหตุนี้ชาวยิวจึงเลือกที่จะใช้สัญลักษณ์ดาวหกแฉกในการสื่อถึงพระองค์ และใช้เป็นสัญลักษณ์ในการทำพิธีทางศาสนาซึ่งสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อที่เก่าแก่หลายพันปี    นักประวัติศาสตร์ย้งเชื่อว่าสัญลักษณ์นี้ได้มีการใช้มาแต่ครั้งอดีตกาล โดยเฉพาะอารยธรรมโบราณในทวีปตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ชาวโบราณมีความเชื่อว่าลวดลายดาวหกแฉกนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งอาคมและมีอำนาจพิเศษในการขับไล่ภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้าย  ในยุโรปจะเรียกสัญญลักษณ์แห่งความมีโชค  ผู้ใดก็ตามที่มีสัญลักษณ์นี้ จะได้รับคำอวยพรจากพระเจ้า เขาจะประสบโชคดีทุกๆ เมื่อ และเขาผู้นั้นจะเข้าถึง ปัญญาอันยิ่งใหญ่ เป็นยอดคนเหนือคน เป็นผู้ตามรอย แห่งกษัตริย์เดวิดและโซโลมอน อีกทั้งดาวหกแฉก ที่เรียกว่าสตาร์ออฟเดวิด  บ้างคนเชื่อว่าสัญลักษณ์นี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อติดต่อกับมิติอื่น เป็นเครื่องมือสื่อสารไปยังจักรวาลในทุกยุค ทุกสมัยและเชื่อว่าเคยมีคนใช้สัญลักษณ์ของจักรวาลนี้ในการติดต่อสื่อสารกับจักรวาลได้ แต่ความรู้ในการใช้ประตูเวลาหรือมิติเวลาได้ขาดหายไป คงเหลือแต่สัญลักษณ์ของจักรวาลเอาไว้เท่านั้น
  ในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็มีรูปสัญญลักษณ์นี้ เป็นลักษณะการจำลองจักรวาล หรือที่รู้จักกันในนาม “มันดาลา” ถือว่าเป็นแบบพลังในทางระบบสัญญลักษณ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก แต่ถึงอย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ชอบอ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์คงรู้สึกคุ้นเคยกับ ดาวแห่งเดวิด” ในยุคนาซีมากกว่า ย้อนอดีตมาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ปีค.ศ.1939 นาซีประกาศบังคับให้ชาวยิวในโปแลนด์ทุกคนที่อายุ 10 ปีขึ้นไป สวมปลอกแขนที่มีสัญลักษณ์ดาวแห่งเดวิดสีน้ำเงินไว้ที่แขนขวา  สองปีต่อมาสมัยสงครามโลกครั้งสองชาวยิวที่อยู่ในเขตควบคุมของนาซีเยอรมันโดนบังคับให้มี
       
 ดาวแห่งเดวิดสีเหลือง บนเสื้อผ้าเพื่อเป็นการแบ่งแยกชาวยิวออกจากผู้อื่น ทำให้คนจำได้ง่ายขึ้น แต่สัญลักษณ์ที่ใช้เปลี่ยนเป็นดาวแห่งเดวิดสีเหลือง ที่มีคำว่า “Jude” ซึ่งแปลว่ายิวในภาษาเยอรมันอยู่ภายใน และให้ติดไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย หลังจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวครั้งใหญ่ ชาวยิว  จำเป็นต้องสร้างสัญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองเทียบเท่ากับไม้กางเขน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ พวกเขาจึงได้เลือกรูปดาวหกแฉกเพื่อมาเป็นสัญลักษณ์ของชาวยิวเมื่อชาวยิวเริ่มอพยพกลับมายังดินแดนที่ได้สถาปนาเป็นรัฐอิสราเอลในเวลาต่อมา




ดาวหกแฉกและธงไซออนนิสต์ ได้ใช้เป็นธงชาติอิสราเอล  ถูกออกแบบขึ้นครั้งแรกเพื่อใช้ในขบวนการไซออนนิสต์เมื่อ ค.ศ. 1891 แบบของธงนี้มีพื้นฐานมาจากผ้าคลุมศีรษะของชาวยิวเพื่อใช้ในการทำพิธีทางศาสนา ซึ่งเป็นผ้าสีขาวมีขอบฟ้า มีชื่อเรียกว่า "ทาลลิต" (Tallit)
ลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าพื้นสีขาว มีขนาดความกว้าง ส่วน ยาว 11 ส่วนตรงกลางธงคือ
รูปดาวแห่งเดวิด เป็นรูปหกแฉกสีฟ้า และได้พัฒนามาเป็นธงชาติอิสราเอล เริ่มใช้อย่างเป็น
ทางการ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1948  หลังการประกาศสถาปนาประเทศได้ เดือน  และยังใช้เป็นธงชาติอิสราเอลในปัจจุบัน